วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตัวโลน


เกิดจากตัวเชื้อที่เรียกว่า Pthirus pubis อาศัยอยู่ตามขนโดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่าดูดกินเลือดคนเป็นอาหาร หากอดอาหาร 24 ชั่วโมงตัวเชื้อจะตาย
การติดต่อ
ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อจะอาศัยอยู่บริเวณขนที่หนา เช่นขนตา ขนคิ้ว ขนบริเวณหัวเหน่าแต่จะไม่ติดบนผม เมื่อมีเพศสัมพันธ์เชื้อจะติดจากขนของคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ติดต่อทางอื่นที่มิใช่จากเพศสัมพันธ์ เช่นการนอนเตียงหรือใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนที่ติดเชื้อ ใส่เสื้อผ้าของคนที่ติดเชื้อ หรือนั่งบนโถส้วมที่มีเชื้ออยู่
อาการของตัวโลนเป็นอย่างไร
-อาการที่สำคัญคืออาการคันบริเวณที่ติดเชื้อโดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่า
-อาจจะสังเกตเห็นตัวโลนที่หัวเหน่า
-สังเกตพบไข่ที่โคนขนหัวเหน่า
-อาจจะพบรอยช้ำบริเวณที่ตัวโลนดูดเลือด
-อาจจะพบตัวโลนในบริเวณอื่น เช่นขนรักแร้ เครา ขนคิ้ว ขนตา
การวินิจฉัย
-ท่านสามารถเห็นไข่หรือตัวเชื้อด้วยตาเปล่า หรืออาจจะใช้แว่นขยาย
-หากท่านสงสัยก็ไปพบแพทย์ซึ่งจะนำไปส่องกล้อง

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


แผลริมอ่อน Chancroid


แผลริมอ่อนเป็น โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย
การติดต่อ
โรคนี้ติดต่อได้สองวิธีคือ
-ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
-ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร
-ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วัน
-อาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บ หลังจากนั้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
-แผลจะนุ่มไม่แข็ง(โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง)
-จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทำให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย
-ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง
โรคนี้วินิจฉัยได้อย่างไร
การวินิจฉัยทำได้โดยการน้ำหนองที่ก้นแผลไปย้อมเชื้อก็จะพบเชื้อโรค และยังสามารถเพาะเชื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค
โรคนี้รักษาอย่างไร
ยาที่ใช้รักษาได้แก่
-Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว
-Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
-Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง
-Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
-แผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่-อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์
การป้องกัน
อย่าสำส่อนทางเพศ
ใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน)
หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
-โรคแทรกซ้อน
เนื่องจากเป็นแผลทำให้เกิดการติดเชื้อ HIV ง่ายขึ้น
-ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาใน 5-8วันหลังจากเกิดแผล
-แผลอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
-หากเป็นแผลที่หนังอวัยวะเพศชายอาจจะเกิดพังผืด


ซิฟิลิส Syphilis




เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะ โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่
-primary
-secondary
-latent
-tertiary (or late)
คนเราติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร
-ทางเพศสัมพันธ์
-เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
-เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
-ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ
การติดต่อทางอื่น
-เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
-หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ
-จากแม่ไปลูก
-เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด

อาการของโรค
Primary Syphilis
-ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
-หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันจะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศตรงบริเวณที่เชื้อเข้า
-แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้ำเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ
-ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก
-แผลจะอยู่ 1-5สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
-แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
-สำหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
-การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Secondary Syphilis
-ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน
-ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไปแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา
-ต่อมน้ำเหลืองโต
-ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ
-อาการที่สำคัญมีดังนี้
-มีผื่นสีแดงน้ำตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
-ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว
-จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่นรักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
-จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
-ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
-ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
-อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับเป็นซ้ำ
-การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก
Latent Stage ระยะแฝง
-ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
-ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
-ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
-ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้
Late Stage (Tertiary)
-ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
-ระยะนี้เชื้อโรคจะทำลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทำให้อ่อนแรงหรืออาจจะตาบอด กระดูกหักง่าย
-หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทำลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
-การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Congenital Syphilis
-หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้
-เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
-อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
-เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซิฟิลิส
การตรวจวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้โดยการนำหนองจากแผล หรือเลือดไปตรวจหาตัวเชื้อ การตรวจเชื้อทำได้โดย
>>>>Darkfield Exam<<<<
-การตรวจทำไดโดยการน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่สงสัยไปตรวจ
-นำน้ำเหลืองนั้นไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อ
-การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งระยะ Primary Syphilis และ Secondary Syphilis
>>>>การตรวจเลือด<<<<
การเจาะเลือดตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสทำได้ 2วิธีคือ
-การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส ได้แก่การเจาะ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagent) หากให้ผลบวกต้องเจาะเลือดอีกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test) หรือ MHA-TP (Microhemagglutination-Treponema Pallidum)
ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสมาก่อนอาจจะให้ผลบวกหลอกโดยที่ไม่เป็นโรค
Cerebrospinal Fluid Test การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำในรายสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในระบบประสาท

การรักษาโรคนี้ต้องทำอย่างไร
-ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin
-การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
-หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้ำหลังจากนั้นตรวจทุกปี



หูดข้าวสุข Molluscum Contagiosum

หูดข้าวสุข


-เป็นการติดเชื้อ poxvirus ที่ผิวหนังทำให้เกิดผื่นนูนเล็ก
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า poxvirus คนเราได้เชื้อนี้ 3 วิธีได้แก่
-จากการสัมผัสโดยตรง มักจะเกิดในเด็กตำแหน่งที่พบได้แก่ หน้า คอ รักแร้ แขน มือ แต่ไม่ค่อยพบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
-จากการใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ของเล่น
-จากเพศสัมพันธ์
อาการของโรค
จะมีตุ่มเล็ก มีรอยบุ๋มตรงกลาง ตุ่มนูนไม่เจ็บ สีออกชมพู ผื่นจะเรียงตามรอยเกา ไม่มีลักษณะบวมหรือแดงรอบผื่น ไม่เจ็บ
การวินิจฉัย
จะทำได้จากอาการและสิ่งที่ตรวจพบ หรือในรายที่ไม่แน่ใจอาจจะตัดชิ้นเนื้อตรวจ


โรคหนองในแท้ Gonorrhea


เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น
-เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก
-ท่อรังไข่
-ทวารหนัก
-เยื่อบุตา
-คอ
โรคนี้ติดต่ออย่างไร
-โรคนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร
-การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก
-หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อ ก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ
-หากคุณมีคู่ขามากเท่าใดคุณก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้น
-การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร
-ผู้ชายมักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วันอาการเริ่มจะมีอาการระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมี-อาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยอาการมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
-ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หากจะมีอาการมักจะเกิดใน 10 วัน
-อาการของโรคจะเหมือนกับการติดเชื้อ chlamydia
-การติดเชื้อที่คออาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการเจ็บคอ ไข้
หากติดเชื้อทีตาจะมีหนองไหลและเคืองตา conjunctivitis





เริม Herpes simplex


การติดเชื้อ herpes simplex
เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย และอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
-Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
-Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ และติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัว ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้า หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัว ทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก
อาการของการติดเชื้อ herpes simplex
อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปาก และที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections
การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ อาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว

โรคเอดส์ 


          เอดส์หรือโรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
            องค์การอนามัยโลกได้นิยามการวินิจฉัยโรคเอดส์ใหม่ เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยผู้ที่ติดโรคเอดส์ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีซึ่งต้องมีเกณฑ์ดังนี้
-ตรวจเลือดพบภูมิ antibody ต่อเชื้อโรคเอดส์สองครั้งด้วยวิธีที่ต่างกันและหรือการตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง
สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า18ปี การวินิจฉัยโรคเอดส์มีเกณฑ์ดังนี้
          การตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง จะไม่ใช้การตรวจภูมิมายืนยันการวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัย Primary infection
          องค์กรควบคุมโรคติดต่อของประเทศอเมริกา(CDC)ได้ให้คำนยามไว้ดังนี้
เป็นการติดเชื้อโรคเอดส์ในทารก เด็กหรือผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่มีอาการหรือมีอาการกลุ่ม acuteretroviral syndrome เช่น ไข้หลังจากได้รับเชื้อ 2-4 สัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศ หรืออาจจะมีเยื่อหุ้มสมองหรือสมองอักเสบ และอาจจะมีการติดเชื้อฉวยโอกาส ที่สำคัญคือการที่ว่าพบว่าพึ่งจะมีภูมิ antibody ต่อโรคเอดส์หรือตรวจพบตัวเชื้อโรคเอดส์(HIV-RNA or HIV-DNA) โดยที่ตรวจไม่พบภูมิการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคเอดส์ชนิด advance (advanced HIV infection)
ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ระยะที่3หรือ4และหรือ
CD4<350 cell/mmmในผู้ใหญ่ และหรือ
%CD4+ <30 ในเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือน
%CD4+ <25 ในเด็กอายุ 12–35 เดือน
%CD4+ <20 ในเด็กอายุ 36–59 เดือน
การประเมินความรุนแรงของโรคเอดส์ก่อนการรักษา
       การประเมินความรุนแรงหรือระยะของโรคจะมีประโยชน์ในการประเมินก่อนการรักษาและประเมินเพื่อติดตามผลการรักษา และเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจให้ยาต้านไวรัสหรือการให้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส